หนี้สิน คือ ภาระที่ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ในความหมายทางบัญชี หมายถึง ภาระผูกพันของกิจการ ซึ่งเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีต ด้วยภาระดังกล่าวทำให้กิจการต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจในอนาคต โดยในช่วงที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการฟ้องร้อง ยึดทรัพย์ ลูกหนี้ กยส. ที่มีพฤติกรรมไม่ชำระหนี้ที่กู้ยืมมา เป็นเหตุให้ทางโครงการต้องทำการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อยึดทรัพย์ที่มีมาขายทอดตลาด เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ที่ค้างไว้ จริง ๆ แล้วหากใครที่พบว่าตนเองมีปัญหาในเรื่องของการชำระหนี้ สามารถที่จะเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ให้สามารถที่จะชำระ หนี้สิน ที่ค้างอยู่และมีเงินในการดำรงชีพได้ เพื่อที่จะไม่เกิดหนี้เพิ่มและอาจถึงขั้นฟ้องร้องยึดทรัพย์เหมือนที่ข่าวได้นำเสนอไป โดยมีแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้ดังนี้
ยืดเวลาในการชำระหนี้ – เป็นเงื่อนไขแรก ๆ ที่ทางสถาบันทางการเงินหรือเจ้าหนี้จะสามารถเจรจาและให้โอกาสลูกหนี้ในการชำระหนี้คืนทั้งหมดได้ เพื่อลดเงินในการชำระให้น้อยลง เช่น สัญญาการกู้เงิน 10 ปี ที่ต้องผ่อนจ่ายเดือนละ 10,000 บาท สามารถที่จะผ่อนชำระมาได้ถึง 7 ปี ซึ่งเหลือเพียงอีก 3 ปี เท่านั้น พบว่าประสบปัญหาทางการเงิน ไม่สามารถผ่อนชำระด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมได้ จึงขอเจรจาเพื่อผ่อนชำระให้น้อยลงและยืดเวลาออกไป จากเดิมที่ต้องชำระหนี้ 10,000 บาท/เดือน เป็น 6,000 บาท/เดือน ให้หมดภายในระยะ 5 ปี เป็นต้น
รีไฟแนนซ์ – การรีไฟแนนซ์ คือเป็นการปิดหนี้ โดยเปลี่ยนเจ้าหนี้จากเดิม ไปเป็นหนี้กับเจ้าหนี้รายใหม่ ด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่า ซึ่งในการรีไฟแนนซ์ลูกหนี้จะต้องพิจารณาในส่วนของเงื่อนไข ค่าธรรมเนียม การผ่อนชำระและอื่น ๆ ให้ได้ประโยชน์กว่าเดิมหรือไม่ ส่วนใหญ่จะนิยมรีไฟแนนซ์ใน หนี้สิน ประเภทบ้านและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เพราะมีความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะหากได้รับการลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 1-2 % เท่านั้น
การขอลดอัตราดอกเบี้ย – ส่วนใหญ่เจ้าหนี้จะไม่ค่อยนิยมใช้วิธีนี้กัน เพราะดอกเบี้ยถือเป็นรายได้ที่สำคัญของเจ้าหนี้ ยกเว้นในกรณีที่ถึงที่สุดของการชำระหนี้แล้วเพื่อตัดปัญหาและต้องการให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้หมดโดยเร็ว
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นกระบวนการในการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถที่จะนำเงินมาชำระหนี้เอาไว้ได้หมด ซึ่งการที่ลูกหนี้จะเจรจาให้การปรับโครงสร้างหนี้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้และส่วนประกอบอื่น ๆ ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหนี้เอง เพราะท้ายที่สุดแล้วหากไม่สามารถตกลงกันได้อาจจะต้องไปจบกันที่ศาล เพื่อให้ศาลช่วยไกล่เกลี่ยและช่วยเหลือทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ให้ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างลงตัว ในขณะเดียวกันก่อนที่จะเป็นหนี้ ควรพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วอาจส่งผลเสียต่อตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการติด Black List และร้ายแรงสุดอาจถึงขั้นยึดทรัพย์เหมือนข่าวที่มีให้เห็นตามสื่อต่าง ๆ ก็เป็นได้