คำกล่าวที่ว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ต้องต่อด้วยคำว่า “การไม่มีหนี้สินเป็นสิ่งล้ำเลิศในปฐพี” ก็คงจะไม่ผิดนัก โดยเฉพาะหากเป็นหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่คุ้มค่าตามมาจากการตัดสินใจเป็น “ลูกหนี้” เพราะการมีหนี้สิน ไม่ว่าจำนวนเงินทองที่ติดหนี้นั้นจะเป็นมูลค่าน้อยหรือมาก ก็มักทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและกังวลในการต้องหาเงินมาใช้หนี้ ซึ่งปัจจุบันช่องทางการเป็น ลูกหนี้มีมากมาย หากขาดวินัยทางการเงินก็มักจะเกิดปัญหาหนี้สินพอกพูนได้ในเวลาไม่กี่เดือน แต่หากได้คำนวณแล้วว่าการเป็นหนี้สินครั้งนี้ แลกกับการได้สิ่งของที่จำเป็น นำมาสร้างรายได้เพิ่มอย่างชัดเจน หนี้ปัจจุบัน เช่น อาชีพดีเทลหรือเซลล์แมน ต้องเป็นหนี้สินในการซื้อรถยนต์ หรือเป็นหนี้อสังหาริมทรัพย์ บ้าน-ที่ดิน ที่สามารถขายได้กำไรงามในอนาคต ก็เรียกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูก
อย่างไรก็ตาม ในยุคเศรษฐกิจแข่งขันกันสูง ไม่ว่าจะอยูในวงการธุรกิจด้านสุขภาพสินค้าแฟชั่น ทัวร์การท่องเที่ยว ก็ต้องดูความจำเป็นและมองหาจุดคุ้มทุนหรือจุดประกันความเสี่ยงที่แต่ละคนจะต้องสร้างลิมิตในตัวเองว่ายอมให้ตนเองมีหนี้สินได้แค่ไหน ที่จะไม่เครียดจนเกินไป เพราะไม่ควรมีหนี้สินสูงจนเกินความสามารถที่จะนำเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ ทั้งนี้การวางแผนการเงินเพื่อการชำระหนี้แบบผ่อนส่งรายเดือนรายปี ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ย หรือค่าปรับเพิ่มจากการชำระหนี้สินล่าช้าด้วย
รู้จักบริหารเงินก่อนจะเป็นลูกหนี้
ทั้งนี้ ก่อนการเข้าสู่วงจรเป็นลูกหนี้ ควรกันเงินเก็บส่วนหนึ่งไว้อย่างน้อย 1 ใน 3 ส่วน เช่น รับเงินเดือน 1 หมื่น ควรเก็บไว้สำรองฉุกเฉินไม่ใช้จ่ายใด ๆ สามพันบาท ส่วนที่เราเอาไว้ใช้จ่ายประจำวัน-รายเดือน อีก 5,000 บาท และที่เหลือสำหรับสำหรับการดูแลครอบครัว ตอบแทนผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะสังคมไทยที่ยึดมั่นในความกตัญญูตอบแทนความดีของพ่อแม่ เราจึงควรกันเงินรายได้ส่วนหนึ่งตอบแทนคุณท่านอย่างสม่ำเสมอ โดยที่ท่านไม่ต้องร้องขอ แม้ “จำนวนเงิน” จะให้ได้ 200 บาท หรือ 2 พันบาท ก็ไม่สำคัญ เท่ากับ “กำลังใจ” และการสร้างความปิติดีใจแก่ท่าน
การวางแผนจัดสรรการเงิน ทั้งเพื่อการดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม จะทำให้การตัดสินใจมีหนี้สินทุก ๆ ครั้งผ่านการคิดอย่างมีสติไตร่ตรองมากขึ้น หลายครั้งที่คนเราเปลี่ยนการเป็นหนี้สินค้าที่ไม่จำเป็น หรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อตัวเอง มาเป็นหนี้เพื่อซื้อผักผลไม้ อาหารดี ๆ พาพ่อแม่ไปทานอาหารนอกบ้าน แล้วใช้ “เงินในอนาคต” แทน ก็เพราะรู้สึกภูมิใจและมีความสุขยิ่งกว่าเมื่อได้ทำเพื่อผู้อื่น